รักตัวเองให้เป็น: คุณให้คุณค่าในตัวเองแค่ไหน?
เนื่องจากเดือนมีนาคม เป็นเดือนที่ทั่วโลกเฉลิมฉลอง International Women Day (8 มีนาคม) ทางผู้เขียนจึงตั้งใจที่จะแชร์แนวทาง “การสร้างความนับถือตนเอง” หรือ self-esteem ให้กับทุกท่าน โดยเฉพาะคุณผู้หญิงที่ได้เข้ามาอ่านบทความนี้เพื่อ “สร้างความเข้มแข็งของจิตใจ” ให้นำไปปรับใช้ในชีวิต การทำงาน และการสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ต่อไป
มุมมอง: นิยามของการเห็นคุณค่าของตัวเอง (self-value)
การที่เรายอมรับค่านิยม ความเชื่อ ประสบการณ์ และตัวตนของเราที่ผ่านมาด้วยความเข้าใจ ไม่ว่าสิ่งที่เราได้เคยผ่านมาจะเป็นยังไง (จะถูกหรือผิดตามแต่มุมมองของเรา) ก็ขอแค่ให้ตระหนักรู้กับตัวเองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต เราไม่สามารถไปแก้ไขมันได้ แต่เราสามารถหาบทเรียนที่ดีเพื่อทำให้เราได้เรียนรู้ถึงข้อผิดพลาดนั้นได้ หรือแม้แต่สิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นในอนาคต เราเองก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปกังวลกับมันมากนัก แต่ถึงแม้จะมีความกังวลเข้ามาอยู่บ้าง ก็ขอให้ถามตัวเองว่ากังวลแล้วเรารู้สึกอย่างไร? อารมณ์แสดงออกมาเป็นแบบไหน? แล้วมันทำให้ใจเรารู้สึกอย่างไร ขุ่นมัวหรือไม่ ถ้ามันทำให้ขุ่นมัว เราก็สามารถเลือกได้ว่าเราจะรับอารมณ์นั้นเข้ามาให้รู้สึกขุ่นมัวหรือไม่ เพียงแค่ตระหนักรู้ เดี๋ยวอารมณ์นั้นก็จางหายไป แค่รักษาสติให้อยู่กับปัจจุบัน ตัวเราก็จะเป็นอิสระทางความคิดและอารมณ์ได้แล้ว พอเราเป็นอิสระจากสิ่งที่มารบกวนจิตใจเหล่านี้ เราก็จะสบายอยู่ในใจและเมื่อนั้นแหละมุมมองที่ต่างแตก ความเชื่อมั่น พลังใจของเราก็จะหลอมรวมจนเป็นหนึ่งเดียวกับตัวเรา และนี่คือมุมมองของผู้เขียนที่กลั่นออกมาจากประสบการณ์ ค่านิยมและความเชื่อ แล้วตัวผู้อ่านทุกท่านละ มีค่านิยมเกี่ยวกับการมองเห็นคุณค่าในตัวเองเป็นอย่างไร? ลองใช้เวลาระหว่างที่ได้อ่านบทความนี้ คิดทบทวนถึงสิ่งเหล่านี้กันดูนะครับ
>> คุณมีความเข้มแข็งของจิตใจแค่ไหน? ลองทำแบบประเมิน “ความเข้มแข็งของจิตใจ” (คลิก) ตอนนี้เลย <<
ฝึกฝน: เพิ่มนับถือตนเอง (self-esteem) ให้กลับมารักตัวเองมากขึ้น
ก่อนอื่นเลย ผมขอเปิดด้วยคำถามเหล่านี้ครับ.. มีท่านไหนบ้างที่รู้สึกว่าไม่ว่าเราจะทำดีแค่ไหน แต่ก็ยังรู้สึกว่าตัวเราไม่ดีพอ? แล้วใครบ้างครับที่รู้สึกว่าตัวเราไม่คู่ควรกับสิ่งที่เรามี หรือ ควรจะมี? หรือ ใครบ้างครับที่มักจะมีมุมมองด้านลบกับสิ่งที่เผชิญในชีวิตอยู่บ่อยครั้งครับ? ลองตอบคำถามเหล่านี้กับตัวเองด้วยความสัตย์จริงกันดูนะครับ ที่ผมถามคำถามเหล่านี้ไม่ใช่เพื่อให้ลดทอนคุณค่าในตัวเอง แต่เพื่อนำพาทุกท่านให้กลับมาอยู่กับปัจจุบันและยอมรับความเป็นจริงกับสิ่งที่เกิดขึ้นเสียก่อน เพราะเมื่อไรก็ตามที่เราเริ่มต้นยอมรับความจริง เราจะเกิดกระบวนตระหนักรู้ และคิดทบทวนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นว่าตัวฉันเป็นอย่างนี้จริงๆหรอ แล้วเพราะอะไรถึงเป็นแบบนี้ แล้วฉันจะสามารถก้าวข้ามผ่านจากความรู้สึกเหล่านี้ได้อย่างไร? เมื่อไรก็ตามที่ท่านรู้สึกหรือเริ่มมีความคิดเหล่านี้ผุดขึ้นมา ขอให้รู้ไว้นะครับว่าคุณกำลังเดินมาถูกทางเพื่อเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนหรืออดีตที่ผ่านมาแล้วครับ
สำหรับท่านไหนที่ยังมีความรู้สึกหรือมุมมองในด้านลบอยู่ ก็ขอให้ทุกท่านรับรู้ความรู้สึกที่เกิดขึ้น แล้วลองขอบคุณตัวเองสำหรับประสบการณ์และบทเรียนที่ทั้งดีและไม่ดีที่ผ่านมาดูนะครับ ขอบคุณจิตใจ ขอบคุณตัวเรา ขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามาแล้วทำให้เรามีในวันนี้ ทำให้เรารู้ว่าเราเข็มแข็งแค่ไหนกว่าจะผ่านเรื่องราวต่างๆเหล่านี้มาได้ ลองขอบคุณจากใจจริงๆกันดูนะครับ แล้วลองสัมผัสไปในใจของทุกท่านดูว่ารู้สึกอย่างไรกันบ้างครับ?…
ส่วนสำหรับท่านไหนที่แทบไม่เคยมี หรือ ไม่มีความรู้สึกในด้านลบแบบนี้มาก่อนเลย ผมขออนุญาตแสดงความยินดีกับทุกท่านอย่างใจจริงนะครับ
อย่างไรก็ดีไม่ว่าคุณจะเคยมีประสบการณ์แบบไหน ขอให้คุณรู้ไว้เลยว่าทุกอย่างมีทางออกที่เหมาะสมสำหรับคุณเสมอ ขอแค่ให้คุณเปิดใจยอมรับกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น เมื่อนั้นแหละคุณจะเริ่มเห็นมุมมองที่ต่างออกไปจากจุดที่เรายืนอย่างแน่นอนครับ จะว่าไปผุ้เขียนเองก็เกริ่นมาเยอะพอละ ต่อจากนี้เดี๋ยวเรามาลองดูวิธีการสร้างคุณค่าหรือความภาคภูมิใจในตัวเองกันดูนะครับ
วิธีการ: สร้างคุณค่าในตัวเอง และเปลี่ยนแปลงกับตัวเองได้อย่างไร?
1. ฝึกการยอมรับตัวเองในทุกด้าน
ไม่ว่าเรื่องนั้นจะจุดแข็งหรือจุดอ่อนของเรายังไง ก็ขอให้รู้ไว้ว่าบนโลกนี้ไม่มีอะไรที่สมบูรณ์แบบ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ล้วนแล้วแต่แปรเปลี่ยนตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศ สิ่งแวดล้อม ร่างกายของเราที่ไม่ว่าจะบำรุงดีแค่ไหนแต่ก็ยังต้องเสื่อมถอยตามกาลเวลา หรือแม้แต่อารมณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น ทุกอย่างล้วนแล้วแต่ไม่จีรังเลยทั้งนั้น แล้วเราจะหาสาระกับสิ่งที่แปรเปลี่ยนตลอดเวลาเช่นนี้?
2. ตั้งเป้าหมายที่ทำได้จริง
ผู้เขียนแนะนำว่าขอให้เริ่มจากสิ่งเล็กๆที่เราทำอยู่ในทุกๆวันก่อน เหตุผลที่บอกอย่างนี้เพราะหากผู้อ่านไปเลือกตั้งเป้าหมายใหญ่ที่ยากจะจับต้องได้ในครั้งแรก ท่านอาจที่จะเหนื่อยและล้มเลิกความตั้งใจไปเสียก่อน ยกตัวอย่าง เช่น ฉันตั้งใจว่าจะลดน้ำหนักให้ได้ 5 กิโลกรัมในเดือนนี้ ฉันจะต้องทำอย่างไรเพื่อบรรลุถึงเป้าหมายการลดน้ำหนักที่ตั้งใจไว้ ให้ break down หรือย่อยเป็นแต่ละหัวข้อก่อน เช่น เป้าหมายหรือวัตถุในการลดน้ำหนักครั้งนี้ลดไปเพื่ออะไร? เพื่อตัวเรา หรือ คนอื่น? พอตั้งเป้าหมายแล้วก็ลองคิดต่อดูว่าแล้วฉันต้องทำอย่างไรถึงจะสามารถลดน้ำหนัก 5 กิโลกรัมตามที่ตั้งใจในเดือนนี้ได้ เช่น ฉันจะต้องเลิก/ลดทานของหวาน หรือของจุกจิกระหว่างวัน, ฉันจะเริ่มเข้ายิมและลงคอร์สเพื่อลดน้ำหนักให้ได้อย่าง 3 วันต่อสัปดาห์ หรือการเข้านอน ก่อน 5 ทุ่มและให้ได้อย่างน้อย 6 ชม.ขึ้นไป การพักผ่อนอย่างมีคุณภาพก็จะช่วยในเรื่องสมดุลของอารมณ์ด้วยเช่นเดียวกัน
3. เริ่มต้นฉลองกับชัยชนะเล็กๆที่เราสามารถเอาชนะใจตนเองได้
จากตัวอย่างเดิม หากว่าตัวคุณสามารถลดน้ำหนักได้ 5 กิโลตามที่ตั้งใจในเดือนนั้นไว้แล้ว ก็ขอให้ผู้อ่านได้หาความสุขให้กับตัวเองเพื่อฉลอง ไม่ว่าจะเป็นการทานอาหารดีๆ ซื้อเสื้อผ้าใหม่ๆ หรือ ออกไปเที่ยวเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ
4. โฟกัสไปที่จุดแข็งของตัวเอง
โฟกัสไปที่จุดแข็งของตัวเอง จากสิ่งที่คนรอบข้างเคยบอก หรือความรู้สึกและประสบการณ์ในอดีตที่ผ่านมาว่าตัวเรานั้นเคยประสบความสำเร็จในเรื่องอะไรมาบ้าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ ก็ล้วนแล้วแต่ใช้ได้ทั้งนั้น เหตุผลที่ให้กลับมาตระหนักรู้ในเรื่องเหล่านี้ก็เพื่อสร้างความภาคภูมิใจให้กับตนเอง
5. รักษาความสัมพันธ์เชิงบวก
หารู้ไม่ว่านี่คือ 1 ในหัวข้อที่มีความสำคัญที่สุดหัวข้อนึง เพราะ environment รอบตัวของเราล้วนแล้วแต่มีผลกระทบต่อความคิดและสภาพจิตใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากท่านเลือกรายล้อมไปด้วยกลุ่มคนที่ดี ที่ให้กำลังใจกัน คุณก็จะได้พลังงานที่ดีกลับมาด้วยเช่นกัน ในทางกลับกัน หากคุณเลือกเสพสื่อได้ด้านลบหรือล้อมรอบด้วยกลุ่มคนที่ไม่ดี(Toxic) ตัวคุณเองก็อาจจะได้รับแต่พลังงานในด้านลบได้เช่นกัน
6. ดูแลสุขภาพภายนอกให้ดีเสียก่อน
การกินอาหารดีๆ ออกกำลังเป็นประจำ หรือ แม้แต่นอนหลับให้เพียงพอก็ล้วนแล้วแต่มีผลที่ทำให้สารสื่อประสาทในสมองทำงานได้ดี และมีส่วนส่งเสริมสุขภาพใจให้แข็งแกร่งขึ้นได้ด้วยเช่นกัน เพราะกายกับใจเป็นสิ่งที่คู่กัน
7. สร้าง Growth mindset
เราทุกคนเกิดมาใน background พื้นฐานครอบครัว ค่านิยม ความเชื่อ หรือความสัมพันธ์ที่แตกต่างกัน ไม่ใช่ทุกคนที่จะมี growth mindset ติดตัวมาตั้งแต่เกิด growth mindset ไม่ได้มาจากพรสวรรค์หรือจากพันธุกรรม แต่ growth mindset มาจากพรแสวงที่ต้องอาศัยการสร้างขึ้น การฝึกฝนและระเบียบวินัยกับตัวเอง ผู้เขียนเชื่อว่าไม่ว่าใครก็มี Growth mindset ได้ และก็ไม่ได้จำเป็นต้องเหมือนกับของคนอื่นหรือตามค่านิยมของสังคม ซึ่ง Growth mindset ที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่นี้ หมายถึง ไม่ว่าชีวิตของคุณจะผ่านหรือเจอเรื่องราวอะไรมา คุณเองก็สามารถฝึกมองบวกและหาบทเรียนกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้เสมอ จริงๆแล้ว growth mindset เกิดขึ้นจากการที่คนเรามีเป้าหมายที่ชัดเจน ยิ่งเป้าชัดเท่าไร growth mindset จะยิ่งเข้มข้นขึ้นเท่านั้น เพราะเป้าหมายจะทำให้เราเห็นว่าสิ่งไหนที่เรากำลังทำได้ดี หรือ สิ่งไหนที่เรากำลังขาด โดยเราสามารถเริ่มพัฒนาตัวเองได้จากที่เรากำลังขาดเพื่อเติมช่องว่างนั้นให้เต็ม และเพื่อบรรลุให้ถึงเป้าหมายตามที่วางไว้ครับ
8. พูดเชิงบวกกับตัวเอง (Self-talk)
กล้าที่จะพูดกับตัวเองว่าสิ่งนี้มันทำให้เรารู้สึกอย่างไร การพูดเชิงบวกกับตัวเองเป็นสิ่งที่ต้องฝึก คล้ายๆกับการมี growth mindset ยิ่งฝึกมากกว่าเท่าไร สติและความคิดในเชิงบวกของเราก็จะยิ่งคมขึ้นมากเท่านั้น ฉะนั้นจงกล้าที่จะพูดกับตัวเองในสิ่งที่เราคิดหรือรู้สึก อย่าเก็บมันไว้ในใจอย่างเดียว
9. หมั่นออกไปทำกิจกรรมที่เราชอบ
ไม่ว่ากิจกรรมอะไรก็ตามที่คุณทำแล้วมีความสุข แล้วไม่เบียดเบียนตัวคุณหรือผู้อื่น ผู้เขียนอยากจะ encourage ให้คุณออกไปทำกิจกรรมนั้นอย่างเต็มที่ เพราะการพาตัวเองออกมาจาก routine หรือ confort เดิมๆ จะช่วย boost energy หรือหลั่งสารที่เรียกว่า โดปามีน(Dopamine/สารแห่งความสุข หรือ รู้สึกดี) ออกมา ซึ่งจะช่วยของอารมณ์และการมีแรงจูงใจที่ดีในการทำสิ่งต่างๆ คนที่มี self esteem สูงๆส่วนใหญ่ มักจะมีสารสื่อประสาทที่ทำงานร่วมกับสมองอย่างสารโดปามีนค่อนข้างมากและสม่ำเสมอ
อย่างไรก็ดี การสร้างคุณค่าหรือความภาคภูมิใจ (Self-esteem) เป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาและความพากเพียรในการสร้าง ดังนั้นผู้เขียนอยากจะให้ทุกท่านได้ลอง challenge ตัวเองด้วยการตั้งเป้าหมายในปีนี้ดูว่ามีอะไรที่เราเคยคิดหรือฝันว่าอยากจะทำให้สำเร็จในปีนี้ดูกันนะครับ อีกครั้งเป้าหมายที่ทุกคนจะสร้างขึ้นมาต่อจากนี้ไม่สำคัญว่าจะเล็กหรือใหญ่ แต่จุดสำคัญคืออยู่ที่ เป้าหมายนั้น ช่วยผลักดันให้เราเดินไปข้างหน้าและเป้นคนที่ดีขึ้นต่อทั้งตัวเองไม่ ถ้าใช่ ก็ขอให้ทุกคนลองตั้งเป้าหมายและพยายามทำให้สำเร็จกันดูนะครับ
หากผู้อ่านท่านไหนมีข้อสงสัยในเรื่องของการสร้าง Self-esteem อย่างมีเป้าหมายก็สามารถทักเข้ามาพวกเรา @jaifull ที่ LineOA ได้เลยนะครับ สุดท้ายนี้ทางผู้เขียนและทีมงานทุกคนขอเป็นกำลังใจให้กับผู้อ่านทุกท่านด้วยความจริงใจ แล้วพบกันใหม่ในบทความตอนหน้านะครับ
หากใครก็ตามที่ชอบบทความนี้ของใจ-ฟู ฝากกด Like หรือ กดติดตามเพื่อไม่ให้พลาดข่าวสารและบทความดีๆในตอนต่อไปกันนะครับ
- Facebook (Jaifull): https://www.facebook.com/jaifully
- LinkedIn (NEXEP Health): https://www.linkedin.com/company/nexep-health-solutions/
ขอบคุณครับ